เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ วันนี้วันพระนะ วันพระ วันโกนเป็นวันทำบุญกุศลของชาวพุทธ ชาวพุทธทำบุญกุศลเพื่อบุญกุศลของเรา ชาวพุทธที่ฉลาดนะ ชาวพุทธที่ฉลาดเขาเสียสละ เขาเสียสละอภัยทาน วัตถุทาน ทำบุญกุศลเพื่อหัวใจของตนๆ ถ้าทำบุญกุศลเพื่อหัวใจของตน หัวใจของตนจะเข้มแข็งขึ้นมา จะเกิดภาวะวิกฤติ จะเกิดภาวะในชีวิตขึ้นมาต่างๆ มันจะมีที่พึ่งที่อาศัยๆ
แต่ทางโลกเวลาที่พึ่งอาศัย เขาพยายามจะหาที่พึ่งอาศัยจากภายนอก เวลาที่พึ่งอาศัยจากภายนอกนะ ตั้งแต่วัตถุมงคล หาฤกษ์หายาม นั่นเป็นการหาที่พึ่งจากภายนอก ถ้าหาที่พึ่งจากภายนอกนะ นั่นมันเป็นเรื่องอภิญญา เรื่องฌานโลกีย์ เรื่องโลกๆ ไง
พระพุทธศาสนาละเอียดลึกซึ้งกว่านั้น เพราะพระพุทธศาสนาละเอียดลึกซึ้งกว่านั้น พระพุทธศาสนาให้นับถือตน นับถือตนเพราะตนมีธาตุรู้ ตนมีหัวใจไง หัวใจคือพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันจะตื่น มันจะรู้ มันจะเบิกบานจากการได้ฟังธรรมๆ การได้ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงที่สุดแล้วทุกคนงงหมดนะ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
เราจะพึ่งได้อย่างไรล่ะ เรามันทุกข์มันยากขนาดนี้ เรามีแต่ความทุกข์ร้อนในหัวใจขนาดนี้ เราจะเอาที่พึ่งมาจากไหน เรามีแต่ไฟสุมขอนในหัวใจ เราจะเอาที่พึ่งมาจากไหน เราจะเอาที่พึ่งมาจากไหนไง
นี่ไง เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดลึกซึ้งขนาดนั้น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เวลาจิตสงบแล้ว จิตสงบยกขึ้นวิปัสสนา เวลายกขึ้นวิปัสสนาใช้สติใช้ปัญญาของตน ใช้สติปัญญาของตนเกิดมรรคเกิดผลในหัวใจของตน เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
แต่ตนกว่าจะพึ่งตนได้ กว่าจะพึ่งตนได้ก็ตั้งแต่ปู่ย่าตายายของเราเลือกนับถือพระพุทธศาสนา เวลานับถือพระพุทธศาสนามีประเพณีวัฒนธรรมให้คนได้ทำบุญกุศล จูงลูกจูงหลานไปวัดไปวา เวลาคุ้นเคยกับวัดกับวาขึ้นมา มีความทุกข์ความยากขึ้นมาอาศัยวัดอาศัยวา อาศัยครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งที่อาศัย
เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมา เวลามองเข้าไปในวัด เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านฉันมื้อเดียว ท่านอยู่ของท่านทั้งชีวิตได้อย่างไร ท่านมีความสุขอย่างไร ท่านอยู่ด้วยความแห้งแล้งหรือ
แล้วเราอยู่ชุ่มอยู่ด้วยกาม เราอยู่ชุ่มในทางโลก เรามีทุกอย่างพร้อม ทุกอย่างสมบูรณ์พูนสุข ทำไมเรามีแต่ความทุกข์ความยากขนาดนั้น เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมามันได้คิดไง เวลามันได้คิดขึ้นมา ครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งที่อาศัย เป็นแบบอย่างของเรา
เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เวลาถือศีล ๘ ศีล ๘ เขาไม่ทานข้าวเย็น ให้ก่อนเที่ยงๆ ก่อนเพล เวลาถือศีล ๘ เวลามันฉันน้อยกินน้อย ทำไมมันมีความสุขขึ้นมาได้อย่างไร มีความสุขขึ้นมาได้อย่างไร
เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา พฤติกรรมความเป็นอยู่ของเรานั่นน่ะมันจะเป็นโรคเป็นภัย แล้วอาหารในปัจจุบันนี้มันก็มีการสะสม สะสมให้ร่างกายนี้เป็นโรคเป็นภัยทั้งนั้นน่ะ ถ้าเราอดนอนผ่อนอาหาร เรามีสติปัญญาของเรา เราจะหาความสุขในใจของเรา
วันพระ วันโกน เวลาไปวัดไปวาขึ้นมา ที่พึ่งที่อาศัยของเรา ที่พึ่งที่อาศัยของเรา ในตัวตนของเรา ในหัวใจของเรา ในหัวใจของเราถ้ายังพึ่งพาตนยังไม่ได้ เราไปวัดไปวาเราก็จูงลูกจูงหลานของเราไป จูงลูกจูงหลานไปให้เขามีนิสัยของเขา ของเราก็เหมือนกัน เราไปวัดไปวาขึ้นมา เราจูงลูกจูงหลานมา แล้วหัวใจเราจะเติบโตขึ้นมาบ้างหรือไม่
ถ้าหัวใจเราเติบโตขึ้นมา นั่งลงอยู่ที่ในห้องพระ นั่งลงอยู่ที่ไหนก็ได้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี่บำรุงหัวใจของเรา ต้นไม้ต้องได้รับการพรวนดินรดน้ำ หัวใจของเรา ถ้าเราได้หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราได้รู้จักดูแลรักษา เรารู้จักพรวนดินของมัน เวลามันมีสิ่งใดเกิดขึ้นในชีวิตมันจะตื่นตกใจไปขนาดไหน โอ้! พุทโธ โอ้! ตกใจ มันยังกลับมาคว้าหัวใจของตนเองได้ กลับมาดูแลหัวใจของตนเองได้ นี่ถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมา เห็นไหม
ไม่มีหรอก ไม่มีใครรักใครมากกว่าเราหรอก ตนเองรักตนมากที่สุด นี่รักที่สุด แต่ด้วยประเพณีวัฒนธรรมของเรา ด้วยการบ่มเพาะมา พ่อแม่ก็เป็นพระอรหันต์ของลูก เราก็กตัญญูกตเวที เราก็ดูแลญาติพี่น้องของเรา ดูชาติตระกูลของเรา เรามีอะไรพึ่งพาอาศัยกัน
แต่ถึงที่สุดแล้วเกิด แก่ เจ็บ ตายก็เป็นเรื่องของส่วนบุคคลทั้งสิ้น เจ็บไข้ได้ป่วยก็เรื่องบุคคลทั้งสิ้น แต่เราก็มีน้ำใจต่อกัน ถ้าเรามีน้ำใจต่อกันต่างๆ ขึ้นมา สังคมร่มเย็นเป็นสุขไง นี่พูดถึงสังคมๆ
วันพระๆ วันพระผู้ประเสริฐ ประเสริฐจากใจของตน ประเสริฐจากความรู้สึกนึกคิดนี้ ถ้าประเสริฐจากความรู้สึกนึกคิดนี้ มันคิดจากภายใน คนเราเริ่มต้นเริ่มจากเจตนาที่ดี เจตนาที่ดีกระทำสิ่งใดเป็นที่ดีออกไป ถ้าที่ดีออกไป ก็เริ่มต้นจากโลกียปัญญา เริ่มต้นจากโลก นี่เป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเรามีสติปัญญาแล้ว นี่เรื่องของโลก เราต้องวางโลกให้ได้ถึงจะเป็นธรรม วางโลกให้ได้ถึงจะเป็นธรรม
เวลาเราจะเป็นธรรมๆ เราทำความสงบของใจขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามา เวลาไปวัดไปวาขึ้นมาจะเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดใช่ไหม ชาวพุทธขึ้นมาต้องเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลยหรือ ถ้ามันเป็นได้จริงๆ มันสุดยอด มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก
ดูสิ ในทางเกษตรกรรม ในทางการเกษตรเขาคัดเลือกสายพันธุ์ คัดเลือกสายพันธุ์ของเขามาตลอด คัดเลือกสายพันธุ์แล้วถ้าไม่บำรุงรักษา สายพันธุ์มันกลายทั้งนั้นน่ะ มันเสียหายทั้งนั้นน่ะ
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจของคน หัวใจของคนที่จะมีจริตนิสัยที่มีอำนาจวาสนาพยายามจะทำความสงบของใจเข้ามา เจาะเข้าไปสู่สัจธรรมๆ มันต้องสร้างบุญวาสนามาขนาดไหน
ไม่ใช่สัพเพเหระ เพราะมีสัพเพเหระ เพราะมีความเชื่อกันแบบนั้น ดูสังคมไทย สังคมไทยทุกคนจะโจมตีมาก บอก “พระพุทธศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีๆ ทำไมสังคมเรามีแต่ความเลวทราม สังคมเรามีแต่การเอารัดเอาเปรียบ สังคมเรามันทำแต่แก่งแย่งกัน”
แล้วก็บอกว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง” เวลามันได้เปรียบนะ เวลามันได้เปรียบมันบอกเป็นเช่นนั้นเอง เวลามันเสียเปรียบนะมันไม่ยอม มันตีโพยตีพายเลย มันจะเอาชนะคะคานกันน่ะ
เวลาเป็นไป เวลามันพูด มันพูดไปเสริมกิเลสไง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาน่ะกิเลสเต็มหัว แล้วก็อ้างธรรมะๆ อ้างธรรมะ ธรรมะนะ สัจธรรมมันสูงส่งมาก สูงส่งมาก
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมนะ ทาน ศีล ภาวนา อนุปุพพิกถา เวลาเทศน์สั่งสอนทั่วไปให้เขารู้จักเสียสละ ถ้าใครรู้จักเสียสละแล้วนะ ไม่มีความตระหนี่ถี่เหนียวในหัวใจจนเกินไปนะ มันขาดบกพร่องสิ่งใดมันจะไม่ทุกข์ร้อนจนเกินไป คนเรานะ ไม่เคยเสียสละสิ่งใด แล้วมันก็ไม่เคยได้อะไร คนไม่เคยทำอะไรเลยก็จะไม่ได้รับอะไรตอบแทนทั้งสิ้น คนเรามันรู้จัก เห็นไหม
ดูสิ พ่อแม่รักลูกนี่เรื่องธรรมชาติเลย แต่ก็เสียสละมาตั้งแต่อยู่ในท้อง ตั้งแต่ออกมาดูแลรักษามาทั้งสิ้น เวลาที่มันจะได้มา มันได้มาจากการที่เราให้ จากอ้อมกอด จากการทะนุถนอม แล้วจิตใจเขาอบอุ่นขึ้นมาเขาจะเป็นคนดีขึ้นมา
จากการทิ้งๆ ขว้างๆ จากการไม่ดูแลรักษา จากการให้มันโตขึ้นมาเอง ปากกัดตีนถีบขึ้นมา ถ้าเขามีเมล็ดพันธุ์ที่ดี เขาได้สร้างสมบุญญาธิการมา เขาไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตของเขานะ
แต่คนจิตใจที่อ่อนแอมันจะโทษเลย “สังคมรังแกเรา สังคมรังแกเรา พ่อแม่รังแกเรา ทุกคนรังแกเรา ทุกคนทำลายเราทั้งสิ้น”
มันไม่ได้คิดเลยว่าเวรกรรมที่พามันเกิดนั่นน่ะทำร้ายมัน เวรกรรมที่พามาเกิดนั่นน่ะ ทำไมไม่ไปเกิดเป็นลูกเศรษฐีล่ะ ทำไมไม่ไปเกิดเป็นลูกชายคนเดียวล่ะ ทำไมไม่ไปเกิดเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ล่ะ
สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์เขาถนอมรักษาอย่างดีเลยนะ อู้ฮู! เขาดูแลอย่างมากเพราะมันใกล้สูญพันธุ์ เหลือตัวเดียวในโลก ถ้าตายแล้วมันจะสูญพันธุ์ อู้ฮู! เขาดูแลรักษาอย่างดีเลย ทำไมไม่ไปเกิดอย่างนั้นน่ะ นี่ไง เพราะเวรกรรมมันพาเกิดไง ถ้าเวรกรรมพาเกิดเพราะการกระทำของเราทั้งสิ้น
แล้วบอกว่า จะต้องให้เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลยใช่ไหม บวชแล้วต้องเป็นพระอรหันต์เลย ใครก็ต้องเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
เป้าหมายของเรามันอยู่ที่นั่นทั้งสิ้นน่ะ แต่ด้วย ดูสิ คนเราไม่เคยใช้สอยสิ่งใดเลยไม่มีความสุขหรอก ไส้เดือนมันต้องอยู่ในดินทั้งสิ้น ไส้เดือนมันกินดิน แล้วอยู่ในใต้ดินทั้งนั้นน่ะ เวลาหมดอายุขัยขึ้นมามันตะเกียกตะกายขึ้นมาแห้งตาย
ไส้เดือนจะบำรุงรักษามันให้ไปอยู่บนโต๊ะอาหารโต๊ะจีน เอาโต๊ะจีนไปให้ไส้เดือนกิน ไส้เดือนต้องกินแบบนี้ ไส้เดือนมันไม่กินโต๊ะจีน ไส้เดือนมันจะกินดิน
นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตที่ว่าต้องเป็นอย่างนั้นๆ มันมีอำนาจวาสนาขนาดนั้นหรือ มันรู้ถึงมรรคถึงผลหรือ มันรู้ถึงผลของความจริงหรือ มันไม่รู้จัก จิตใจมันไม่สนใจหรอก
ทางโลกนะ กามคุณ ๕ กามคุณ ๕ กามที่เป็นคุณ กามคุณ ๕ กามที่เป็นคุณมันอยู่ในศีลในสัตย์ มนุษย์ ในเมื่อมนุษย์เวลาเขาพูดถึงเรื่องกามราคะ ทางการแพทย์เขาบอกมันธรรมชาติของมนุษย์ มันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ถ้ามันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตก็ต้องมีศีล ๕ ไม่ผิดคู่ครองของใคร เวลาศีล ๘ เขาเริ่มพรหมจรรย์แล้ว
ในเมื่อเป็นกามคุณ ๕ กามคุณเพื่อความสืบสายพันธุ์ เพื่อความเป็นอยู่ของโลก มันก็ต้องมีศีล ๕ คำว่า “มีศีล ๕” มีศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ถ้ากามคุณ ๕ กามเป็นคุณ กามเป็นคุณมันก็เป็นเรื่องของโลกเขา ถ้าเรื่องของโลกเขา เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเรื่องพรหมจรรย์
เวลาเรื่องพรหมจรรย์ พรหมจรรย์มันเป็นบาทฐาน มันเป็นบาทฐานของการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลามันถือศีลๆ ศีล ๕ ศีล ๕ สิ้นกิเลสได้ไหม นางวิสาขาเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ เขาอายุ ๗ ขวบเขายังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย
นี่ไง เวลาเป็นไปมันเป็นไปด้วยอำนาจวาสนา มันเป็นไปด้วยการสร้างสมบุญญาธิการมา เวลามันเป็น มันเป็นของมันโดยมรรค ผลไม้มันสุกเพราะมันแก่ สิ่งใดเวลาสุกเพราะผลไม้มันมีของมัน มันต้องแก่ของมันไป
หัวใจของคน หัวใจของคนมันสร้างบุญญาธิการมา แล้วมันจะแก่ไปไหมล่ะ เวลาคนเราเกิดมาแก่เฒ่าชราภาพไป หัวใจมันเคยแก่ไหม หัวใจมันแก่เป็นหรือไม่ หัวใจมันไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายของมัน มันมีอำนาจวาสนาของมันหรือไม่
ฉะนั้น ถ้ามีอำนาจวาสนาของมัน เห็นไหม นี่ไง ผลไม้เวลามันต้องสุกไปข้างหน้าแน่นอน มันต้องแก่ของมันไป แต่หัวใจล่ะ มันจะแก่อย่างนั้นหรือ มีอำนาจวาสนาขนาดไหนถ้าไม่มีมรรคไม่มีผลมันเป็นไปไม่ได้ มันแถหมดน่ะ แล้วมันแถหมดไป นี่ไง “มันเป็นเช่นนั้นเอง” มันเป็นเช่นนั้นเป็นพระอรหันต์นะ นอนตื่นขึ้นมาเป็นพระอรหันต์น่ะ
นี่ไง เวลาจะต้องการให้ชาวพุทธทั้งหมดเป็นพระอรหันต์หรือ มันก็เป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วทอดธุระเลย “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ” ใครมันจะมีสติปัญญามากน้อยขนาดไหนที่มันจะรู้ได้ขนาดนี้
แต่ด้วยสหชาติ ด้วยการทำบุญกุศลขึ้นมา ด้วยการสร้างสมบุญญาธิการมา พระอรหันต์แสนกัป ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การสร้างสมอย่างนั้นมา จิตใจเป็นหลักเป็นเกณฑ์นะ จิตใจของคนที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ไม่วอกแวกวอแว ไม่อ่อนไหว
คนจะฝึกหัดภาวนามันต้องมีจิตใจที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ไม่ใช่จิตใจที่อ่อนแอ จิตใจที่ตีโพยตีพาย จิตใจที่พยายามยกตนเทียบคนอื่น เห็นเขาทำความดี ฉันแน่กว่า เห็นเขาภาวนา ฉันภาวนาแน่กว่า เห็นเขาทำอะไร กูแน่กว่าทั้งนั้นเลย แต่มันไม่เคยทำอะไรเลย มันไม่เคยทำอะไรเลย แต่มันบอกมันแน่กว่า มันยอดกว่า มันประเสริฐกว่า มันดีกว่า แล้วไร้สาระ
แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงตาท่านพูดประจำ ภาวนาให้ใครเห็นไม่ได้ ถ้าใครเห็นภาวนามันไม่ศักดิ์สิทธิ์ มันไม่ขลัง
ท่านภาวนาท่านไปแอบอยู่ในป่าในเขา ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำอะไรท่านปิดทองหลังพระทั้งนั้นน่ะ คำว่า “ปิดทองหลังพระ” ความดีคือความดีของเรา สัจจะก็เป็นสัจจะของเรา สติก็เป็นสติของเรา สมาธิก็เป็นสมาธิของเรา ถ้าปัญญาเกิดขึ้นมาก็เป็นมรรคของเรา แล้วมันมหัศจรรย์ขนาดไหนเก็บไว้ในหัวใจ
นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ” แล้วบอกว่าจะให้มันเป็นๆ ฉะนั้น มันเป็นไปไม่ได้ พอมันเป็นไปไม่ได้ขึ้นมา จิตใจอ่อนแอ จิตใจเหลวไหล จิตใจไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปากเปียกปากแฉะ หลวงตาท่านพูด นี่หมากัดกัน
มันเป็นมงคลชีวิตนะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมเป็นมงคลชีวิต เป็นสิ่งที่ประเสริฐ แต่มันต้องเป็นนักปราชญ์ เป็นผู้ที่มีสติ ไม่เหยียดหยาม ไม่ดูถูกไม่ดูแคลน ให้โอกาสต่อกัน การสทนาธรรมอย่างนั้นมันเป็นการประเสริฐ
ในปัจจุบันนี้หมากัดกันปากเปียกปากแฉะน้ำลายแตกฟอง อู้ฮู! เก่งมาก เก่งมาก...ไร้สาระ
สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการศึกษา โลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากโลก นักวิทยาศาสตร์เกิดมาจากการศึกษา เกิดมาจากการทดสอบการค้นคว้า แล้วมันได้อะไรขึ้นมา ทุกข์ไหม หัวใจรู้จักไหม รู้จักใจเอ็งหรือเปล่า รู้จักศีล สมาธิ ปัญญาหรือไม่ ใจมันเป็นธรรมหรือเปล่า...ไร้สาระ ไร้สาระมาก
แล้วครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านทำขึ้นมาของท่านเป็นความจริง สติก็เป็นสติของเรา ถ้ามีสติมันก็ไม่ไปโต้แย้งกับใคร ถ้ามีสมาธิเขารักษาหัวใจของเขา ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาหูตาพองหมดน่ะ โอ๋ย! ปัญญาอย่างนี้เอง ปัญญาที่เกิดจากการแยกแยะ ปัญญาเกิดจากการค้นคว้า ค้นคว้าในใจของตนนะ ไม่ค้นคว้าอย่างอื่น
จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาค้นคว้าต้องค้นคว้าลงไปในจิต ค้นคว้าลงไปในใจของตน ถ้าใจของตน เห็นไหม
นี่ไง ผลไม้เวลาออกแล้วมันต้องแก่ เดี๋ยวมันก็แก่ไปเอง เกิดขึ้นมาแล้วก็นอนจมอยู่นั่นน่ะ ภาวนาแล้วก็นอนกระดิกเท้า ตื่นขึ้นมาเป็นพระอรหันต์ มันต้องเป็นเอง บวชมาเป็นพระ บวชมาแล้ว อู้ฮู! ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เดี๋ยวมันก็จะได้ เดี๋ยวมันก็เป็นของมันเอง...เป็นไปไม่ได้
ในหัวใจดวงใดไม่มีมรรค ในดวงใจดวงนั้นไม่มีผล มันไม่เกิดศีล สมาธิ ปัญญาจากการประพฤติปฏิบัติ มันจะเกิดมรรคผลขึ้นมา เป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่ผลไม้ที่เกิดแล้วมันจะแก่ไปเอง ดูสิ ผลไม้เก็บแล้วบ่มไว้มันต้องแก่ มันต้องสุก มันต้องหวาน มันต้องอร่อยไปเอง แล้วหัวใจให้เป็นอย่างนั้น ไม่มีอยู่
นี่ไง วันนี้วันพระ ถ้าวันพระเรามีสติมีปัญญา เราศึกษาค้นคว้าของเราขึ้นมา เราจะปากกัดตีนถีบ เราจะทุกข์ยากขนาดไหน มันก็เป็นที่เราสร้างมา
จิตใจของเรามันมีคุณค่า แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงศีล สมาธิ ปัญญา การเสียสละ การทำบุญกุศล การเสียสละทาน นี่มันเป็นระดับของทาน วัตถุทาน การเสียสละขึ้นมาก็เพื่ออำนาจวาสนาบารมี เพื่อวัฒนธรรมประเพณี เพื่อหัวใจที่เข้มแข็งขึ้นมา เวลาจริงๆ ขึ้นมาแล้วต้องลงสู่ทางจงกรม ต้องลงสู่การนั่งสมาธิภาวนาทั้งสิ้น
มันต้องเกิดขึ้นเอง มันจะเกิดขึ้นเองโดยการที่มันเป็นไปเอง มันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอก กิเลสในหัวใจมันกีดมันขวาง คนภาวนานี่รู้ คนภาวนานะ เวลามันสูงส่งมันดีขึ้นมานะ แล้วถ้ามันไม่อกุปปธรรม ไม่สมุจเฉทปหาน เดี๋ยวมันเสื่อมหมด
เวลาเสื่อมแล้วนะ แทบจะเอาหัวชนภูเขา ทุกข์ยากแสนยาก เวลาจิตเสื่อม เวลาความทุกข์ความยาก ทุกข์ยากมาก
หลวงตาท่านถึงเน้นย้ำไง ไอ้คนที่ว่าทุกข์ว่ายาก เอ็งยังไม่ได้ปฏิบัติ เอ็งยังไม่ได้สู้กับกิเลสเอ็ง เอ็งอย่าเพิ่งพูดว่าเอ็งทำงานหนัก เอ็งอย่าเพิ่งพูด งานทางโลกอย่าเพิ่งพูดว่ามันหนักหนาสาหัสสากรรจ์ ถ้าเอ็งยังไม่ได้เจอกิเลสของเอ็ง เอ็งยังไม่ชำระกิเลสของเอ็ง เอ็งยังไม่รู้จริงหรอก
ถ้าวันไหนเอ็งรู้จริงขึ้นมาแล้วเอ็งจะเห็นว่า อ๋อ! ผลของการปฏิบัติที่ว่าบวชมาแล้วสุขสบาย บวชมาแล้ว อู้ฮู! มีแต่คนเชิดชูบูชา นั่นน่ะ แล้วเอ็งจะรู้จักว่าการทำงานของนักปฏิบัติ การทำงานของการค้นคว้าหาจิตของตนมันจะทุกข์ยากขนาดไหน
ถ้ามันเป็นได้จริงนะ นี่พูดถึงว่าวันพระ ถ้าจิตใจของคนเข้มแข็ง จิตใจของคนมีสติปัญญา มันจะพยายามมีความเพียรชอบ มันพยายามมีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ มีการกระทำ มีการค้นคว้าเพื่อตน เพื่อหัวใจของตน เพื่อความสุขสงบระงับในจิตของตน เป็นผลเป็นบุญเป็นกุศล เป็นการกระทำของตน เป็นสมบัติของตน เอวัง